การลงทุนร่วมกันในธุรกิจร้านอาหารเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มเพื่อนหรือคนรู้จักที่มีเป้าหมายเดียวกัน คืออยากสร้างธุรกิจให้เติบโตและประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เส้นทางของการเป็นหุ้นส่วนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป กรณีศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจไม่เป็นไปตามคาดหวัง และความขัดแย้งระหว่างผู้ถือหุ้นนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมาย
จุดเริ่มต้นของการลงทุน
เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากการที่กลุ่มผู้ถือหุ้น 4 คนร่วมกันลงทุนเปิดร้านอาหาร โดยแต่ละคนลงเงินในจำนวนที่มากพอสมควร ทุกคนมีความหวังว่าร้านจะเติบโตและสร้างผลกำไรให้กับทุกฝ่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจกลับประสบปัญหา ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาและพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ร้านขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ผู้ถือหุ้นจึงต้องระดมเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อประคับประคองกิจการ
การตัดสินใจปิดร้านและขายกิจการ
เมื่อสถานการณ์ไม่ดีขึ้นและไม่สามารถแบกรับภาระขาดทุนได้อีกต่อไป ผู้ถือหุ้นจึงมีมติร่วมกันปิดร้านและขายกิจการต่อให้ผู้อื่น ทุกคนรับรู้และเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ แต่หลังจากการขายกิจการเสร็จสิ้น กลับเกิดปัญหาขึ้นเมื่อหนึ่งในผู้ถือหุ้นไม่พอใจ และเลือกใช้วิธีการทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง
ข้อพิพาทและการฟ้องร้อง
ผู้ถือหุ้นคนดังกล่าวได้จัดทำเอกสารหลักฐานเท็จและยื่นฟ้องคดีอาญาในข้อหายักยอกทรัพย์ โดยกล่าวหาว่าการขายกิจการทำให้เกิดกำไร แต่ไม่ได้มีการแบ่งปันผลกำไรตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ซึ่งระบุว่าจะต้องมีการปันผลทุก 3 เดือน อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ร้านไม่สามารถปันผลได้เลย เนื่องจากรายได้ที่เข้ามาถูกนำไปใช้ในการขยายกิจการและเสริมสภาพคล่องทางการเงิน
เมื่อได้รับมอบหมายให้ดำเนินคดี ฝ่ายที่ถูกฟ้องได้รวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาทางไลน์ รายการซื้อของ รายจ่ายประจำวันของร้าน เช่น ค่าวัตถุดิบสด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ค่าวงดนตรี และค่าจ้างพนักงานหน้าร้าน เพื่อใช้ในการโต้แย้งข้อกล่าวหา
ในระหว่างการไต่สวน พบว่าผู้ฟ้องนำเสนอเพียงยอดขายจากระบบคอมพิวเตอร์หรือแคชเชียร์ โดยไม่ได้หักต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละวัน อีกทั้งยังนำบัญชีและสเตทเมนท์ของร้านไปตรวจสอบโดยไม่ได้สอบถามข้อมูลจากผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ และไม่ได้คำนึงถึงรายจ่ายที่อยู่นอกเหนือจากบัญชีหลัก
สุดท้าย ศาลได้ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าผู้ฟ้องนำเสนอแต่รายรับโดยไม่หักรายจ่ายที่แท้จริง ซึ่งมีจำนวนมากจนไม่สามารถทำกำไรได้ตามที่กล่าวอ้าง การกล่าวหาว่าร้านมีกำไรหลักล้านต่อเดือนจึงเป็นไปไม่ได้
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความโปร่งใสในการบริหารธุรกิจร่วมกัน การสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างผู้ถือหุ้น และการจัดทำบัญชีที่ถูกต้องครบถ้วน นอกจากนี้ ยังเป็นบทเรียนเกี่ยวกับการใช้สิทธิ์ทางกฎหมายอย่างสุจริต เพราะหากมีการฟ้องร้องโดยไม่มีมูลความจริง อาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีในข้อหาฟ้องเท็จหรือเบิกความเท็จได้เช่นกัน