ในวงการก่อสร้าง ปัญหาที่เจ้าของโครงการและผู้รับเหมามักเจอคือเรื่องการชำระเงิน โดยเฉพาะงวดสุดท้ายที่มักจะเกิดความขัดแย้งกันบ่อยครั้ง บทความนี้จะเล่าถึงกรณีตัวอย่างที่ทนายความของผู้รับเหมาได้เจอ พร้อมคำแนะนำในการรับมือและเตรียมตัวหากเกิดเหตุการณ์คล้ายกัน
เรื่องราวของคดีความระหว่างผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการ
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้รับเหมาทำงานตามสัญญาอย่างครบถ้วน แต่เจ้าของโครงการกลับปฏิเสธไม่จ่ายเงินงวดสุดท้าย โดยอ้างว่างานยังไม่เรียบร้อยและสั่งให้แก้ไขหลายจุด ทั้งที่ผู้รับเหมาได้ดำเนินการแก้ไขตามคำสั่งแล้ว ผู้รับเหมาจึงต้องติดตามเรียกร้องเงินงวดสุดท้ายพร้อมกับค่าใช้จ่ายงานเพิ่มเติมที่เกิดขึ้น แต่เจ้าของโครงการก็ยังคงไม่ยอมจ่าย จนสุดท้ายผู้รับเหมาต้องฟ้องร้องดำเนินคดี
ในชั้นศาล เจ้าของโครงการได้แต่งตั้งทนายความมาต่อสู้ โดยยืนยันว่าผู้รับเหมาเป็นฝ่ายผิดสัญญา ทำงานไม่เรียบร้อยจนต้องซ่อมแซมและเกิดความเสียหายมากกว่าที่ผู้รับเหมาฟ้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งในสัญญามูลค่าประมาณ 33 ล้านบาท ผู้รับเหมาเรียกค่าเสียหายประมาณ 6 ล้านบาท ส่วนเจ้าของโครงการอ้างว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมีมูลค่ามากกว่านั้น และมีเจตนาไม่จ่ายเงินตามสัญญา
ทางผู้รับเหมามีหลักฐานครบถ้วน ทั้งภาพถ่าย งานที่ส่งมอบ และข้อความยืนยันการเพิ่มหรือลดงานจากเจ้าของโครงการและที่ปรึกษา แม้ว่าเจ้าของโครงการจะไม่ออกใบรับรองงานงวดสุดท้ายเพราะตั้งใจไม่จ่าย แต่หลักฐานเหล่านี้ช่วยยืนยันว่างานได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว
ความยากของคดีและบทบาทของทนายความ
ความท้าทายของคดีนี้อยู่ที่การพิสูจน์ว่าใครเป็นฝ่ายผิดจริง เพราะหลังจากยกเลิกสัญญาและผู้รับเหมาออกจากพื้นที่ เจ้าของโครงการหรือผู้รับเหมารายใหม่อาจเปลี่ยนแปลงหน้างาน เช่น รื้อแก้ไข เปลี่ยนสี หรือปรับเปลี่ยนรายละเอียด ซึ่งอาจถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นความเสียหายจากงานของผู้รับเหมาเดิม ทั้งที่ความเสียหายบางส่วนเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้รับเหมาออกไปแล้ว
ถ้ามีทนายความเข้ามาช่วยตั้งแต่ช่วงแรกจะมีการช่วยเตรียมหลักฐานและวางแผนคดีอย่างรัดกุมมากขึ้น เพื่อป้องกันการถูกกล่าวหาผิดสัญญาหรือทำงานไม่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังช่วยให้คำแนะนำเรื่องข้อดีข้อเสียและเตรียมตัวรับมือกับการต่อสู้ในศาล
ผลลัพธ์และข้อคิดสำหรับผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการ
หลังจากการไต่สวนและสืบพยาน ศาลได้ตัดสินให้ผู้รับเหมาได้รับรับชำระหนี้จำนวน 5.36 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดชำระเงิน ซึ่งถือว่าได้รับเงินเกือบเต็มตามที่ฟ้องร้อง ยกเว้นบางส่วนที่ศาลเห็นว่างานยังมีข้อบกพร่องเล็กน้อยที่ต้องแก้ไข
สำหรับเจ้าของโครงการ คดีนี้เป็นบทเรียนสำคัญว่า การปฏิเสธไม่จ่ายเงินโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนและเจตนาที่ไม่ดี อาจทำให้เสียโอกาสทางกฎหมายและต้องจ่ายเงินค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ย
สรุปได้ว่า การทำงานในวงการก่อสร้างนั้นต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างเจ้าของโครงการและผู้รับเหมา หากเกิดความขัดแย้งเรื่องการชำระเงินหรือคุณภาพงาน การมีทนายความเข้ามาช่วยตั้งแต่ต้นจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยปกป้องสิทธิ์ของทั้งสองฝ่ายได้อย่างเหมาะสม
หากคุณกำลังเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการชำระเงินหรือข้อพิพาทในงานก่อสร้าง สามารถปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำและแนวทางแก้ไขได้ทันที