คดีนี้เริ่มต้นจากการซื้อคอนโดมิเนียมหรูย่านทองหล่อมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ผู้ซื้อได้วางมัดจำและผ่อนดาวน์มาอย่างต่อเนื่อง แต่โครงการกลับไม่มีความคืบหน้าในการก่อสร้าง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ผู้ซื้อจึงหยุดชำระเงินและขอเงินคืน
ทางผู้พัฒนาโครงการ (ดีเวลลอปเปอร์) ไม่ยินยอมคืนเงินและพยายามเสนอทางเลือกอื่น เช่น การเปลี่ยนไปซื้อโครงการอื่นหรือขอขยายระยะเวลาก่อสร้าง แม้จะอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ทางผู้พัฒนาโครงการก็ยังออกหนังสือทวงถามการชำระเงินค้างและส่งไปยังที่อยู่ที่ผู้ซื้อไม่ได้พักอาศัยอยู่ จนท้ายที่สุดได้ออกหนังสือยกเลิกสัญญา
การฟ้องร้องดำเนินคดี
ด้วยความที่ผู้ซื้อไม่มีความรู้ด้านกฎหมายและไม่ได้มีการตอบโต้เป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้เสียเปรียบเมื่อต้องฟ้องร้อง อย่างไรก็ตาม คดีนี้เข้าข่ายเป็นคดีผู้บริโภค ซึ่งได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในอัตราร้อยละ 2 และค่านำหมาย
ในชั้นศาล ผู้พัฒนาโครงการนำเอกสารการออกหนังสือต่าง ๆ มาแสดงอย่างครบถ้วน ในขณะที่ฝ่ายผู้ซื้อไม่มีเอกสารใด ๆ แต่ด้วยความชำนาญของทีมทนายความและการที่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ศาลจึงพิพากษาให้ผู้พัฒนาโครงการชำระเงินคืนประมาณ 5 ล้านบาท พร้อมค่าเสียหายเพิ่มอีก 500,000 บาท และค่าทนายความ 90,000 บาท
การบังคับคดีที่มีประสิทธิภาพ
แม้จะชนะคดี แต่ผู้พัฒนาโครงการซึ่งเป็นบริษัทรายใหญ่มีความตั้งใจจะอุทธรณ์และฎีกาเพื่อยืดเวลาการชำระเงินออกไป จึงเป็นหน้าที่ของทีมทนายความที่ต้องดำเนินการบังคับคดีอย่างมีประสิทธิภาพ
ทางทีมทนายความได้ทำการสืบทรัพย์และพบว่าผู้พัฒนาโครงการมีที่ดินหลายแปลงและห้องชุดในโครงการอื่นที่ยังขายไม่หมด แต่กลยุทธ์สำคัญคือการเลือกยึดทรัพย์สินที่จะทำให้ลูกหนี้เดือดร้อนและต้องรีบชำระหนี้ ทีมทนายความจึงเลือกยึดที่ดิน 3 แปลงที่กำลังพัฒนาเป็นโครงการใหม่มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท แม้จะต้องต่อสู้กับเจ้าพนักงานบังคับคดีที่มักต้องการให้ยึดทรัพย์สินที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับยอดหนี้เพียง 5 ล้านบาท เมื่อมีการอายัดที่ดินที่กรมที่ดินและติดประกาศห้ามใช้ทรัพย์สินหรือก่อสร้างที่โครงการ ผู้พัฒนาโครงการจึงตัดสินใจนำเงินพร้อมดอกเบี้ยมาวางศาลเพื่อชำระหนี้
บทเรียนสำคัญ
กรณีศึกษานี้มีประเด็นสำคัญสองประการ คือ
1. การคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบการ จึงมีการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้บริโภคในการดำเนินคดี เช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและการพิจารณาคดีในลักษณะไต่สวน
2. กลยุทธ์การบังคับคดี การชนะคดีเป็นเพียงครึ่งทางของความสำเร็จ การบังคับคดีที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการเลือกยึดทรัพย์สินที่จะสร้างแรงกดดันให้ลูกหนี้ชำระหนี้โดยเร็ว การยึดทรัพย์สินที่มีความสำคัญต่อธุรกิจของลูกหนี้จะทำให้ได้รับชำระหนี้เร็วกว่าการยึดทรัพย์สินที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างผู้บริโภครายย่อยกับผู้ประกอบการรายใหญ่ และความสำคัญของการมีทีมทนายความที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในการดำเนินคดีและการบังคับคดี การเตรียมตัวและวางแผนอย่างรอบคอบตั้งแต่ต้น จะช่วยให้ได้รับความเป็นธรรมและปกป้องสิทธิ์ได้อย่างเต็มที่ในที่สุด